น้ำตาล ความหวาน ที่มาพร้อมกับโรคภัย
* ภาพเพื่อการโฆษณาเท่านั้น

น้ำตาล ความหวาน ที่มาพรอมกับโรคภัย


แทบเปนไปไมได้ที่เราจะอยูไดโดยปราศจากรสชาติแหงความหวาน นอกเหนือจากความรื่นรมยที่เราไดจากรสหวานแลว น้ำตาลยังถูกแปรเปลี่ยนเปนพลังงานในการดํารงชีวิตของเราอีกดวย น้ำตาลกลูโคสนั้นมีผลตออวัยวะตาง ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะอยางยิ่งการทํางานของสมองแมประโยชนของความหวานจะมีอยู มาก แต่ในทางกลับกันหากเราบริโภคน้ำตาลมากเกินไป ก็สามารถสงผลเสียแกร่างกายไดเชนกัน เพราะปริมาณน้ำตาลที่สูงเกินไปก็เปนชนวนของโรคหัวใจ โรคอวน โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง อีกทั้งยังทําให เกิดสภาวะกรดในร่างกายอีกดวย

ในปจจุบันนี้พบวาปริมาณการบริโภคน้ำตาลนั้นสูงจนนาตกใจ โดยปหนึ่ง ๆ คนไทยบริโภคน้ำตาลถึง 36 กิโลกรัม ซึ่งสูงกวาปริมาณน้ำตาลที่ควรบริโภค ซึ่งคือ 6 ชอนชาตอวัน หรือปละ 9-10 กิโลกรัมเทานั้น ซึ่งในชีวิตประจําวัน การบริโภคคารโบไฮเดรตของเรา ไมวาจะเปน ขาว หรือ ขนมปง ก็ลวนถูกแปรเปลี่ยนเปนน้ำตาลอยูแลว ปริมาณน้ำตาล
6 ชอนชา จึงเปนปริมาณที่เหมาะสมให้ร่างกายไดเผาผลาญไปเปนพลังงานไดพอดี สวนน้ำตาลสวนเกินที่เราบริโภคเขาไปนั้น ก็จะมีผลเสียตอร่างกายในแงมุมตาง ๆ ดังนี้

1. เมื่อร่างกายเผาผลาญน้ำตาลส่วนเกินไม่หมด ก็จะแปรเปลี่ยนเปนไขมันสะสมอยูตามบริเวณตาง ๆ ของร่างกาย เชน สะโพก กน และหนาทอง ซึ่งเปนอาการของโรคอวน นั่นเอง
2. น้ำตาลที่มากเกินไปจะรบกวนสมดุลแรธาตุในร่างกาย ทําให้ภูมิคุมกันโรคต่ําลง ซึ่งสงผลให้ร่างกายออนแอ ติดเชื้อไดงายขึ้น ทําให้เปนสาเหตุของโรคมากมาย ไมวาจะเปน วันโรค โรคหัวใจ มะเร็งตับ อีกทั้งทําให้ปวดศีรษะเรื้อรัง เปนตะคริวเวลามีรอบเดือน เปนสิว ผื่น แผลพุพอง ตกกระ แผลริดสีดวงทวารหนัก และเปนไมเกรน อีกดวย
3. ทําให้ร่างกายดื้ออินซูลินไมยอมเปลี่ยนเปนน้ำตาลในเลือดเปนไขมัน และสงผลให้เปนโรคเบาหวานในที่สุด
4. วิตามินบีในร่างกายที่ถูกใชไปมากกวาปกติ ทําให้น้ํายอยและน้ําลายลดลง สงผลให้เบื่ออาหารในที่สุด
5. น้ำตาลจะจับตัวกับคอลลาเจน ทําให้ผิวหนังเหี่ยว อีกทั้งลดปริมาณฮอรโมนแหงความออนเยาวทําให้ผิวเหี่ยว ไมยืดหยุน
6. น้ำตาลจะชวยเรงอาการของโรคให้รุนแรงมากขึ้น เนื่องจากเชื้อโรคทุกชนิดใชน้ำตาลเปนอาหาร ซึ่งรวมไปถึงมะเร็งและยีสตในลําไส ซึ่งอาจสงผลให้เกิดภาวะไสรั่วได
7. การบริโภคน้ำตาลปริมาณสูงจะกระตุนให้สมองหลั่งสารเซโรโทนินซึ่งมีฤทธิ์คลายมอรฟน สมองจะสั่งการให้เรารับประทานน้ำตาลมากๆ เพื่อที่จะผลิตสารเซโรโทนิน ทําให้เราติดน้ำตาลไมตางจากการติดสารเสพติดอื่น ๆ
8. เด็กที่บริโภคน้ำตาลมากเกินไป จะทําให้ฮอรโมนในสมองเสียสมดุล ทําให้เด็กเซื่องซึม และขาดสมาธิ อีกทั้งทําให้เป็นโรคฝันผุ และกระดูกเปราะอีกด้วย

เมื่อทราบผลเสียของการบริโภคน้ำตาลมากเกินขนาดแล้วเราควรเรียนรูู้ที่จะบริโภคน้ำตาลให้เหมาะสม โดยตามหลักโภชนาการแล้วเราควรบริโภคน้ำตาลประมาณ 5 -10 % ต่อวันของพลังงานที่ไดรับทั้งหมดเทานั้น เช่นเดียวกับการบริโภคเกลือและไขมัน ซึ่งคํานวณออกมาเปนน้ำตาลไมเกิน 50 กรัม หรือเพียง 6 ชอนชา โดยวิธีการเปลี่ยนปริมาณ น้ำตาลจากกรัมเปนชอนชา สามารถทําไดงาย ๆ โดยนําขอมูลน้ำตาลที่ระบุบนฉลากซึ่งมักระบุเปนกรัมมาหารดวย 4 เพียงเทานี้คุณก็จะสามารถเปรียบเทียบปริมาณน้ำตาลที่คุณบริโภคได

ทั้งนี้เราไมจําเปนตองเลิกการบริโภคน้ำตาลโดยสิ้นเชิง หากแตตองรูจักบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม โดยอาจเริ่มตนจากการลดปริมาณน้ำตาลให้เกิดความเคยชิน ไมวาจะโดย การหลีกเลี่ยงอาหารสําเร็จรูป ลดการดื่มน้ําหวาน และทานอาหารที่มีไฟเบอรสูง เชน ผักและผลไม เพื่อชวยรักษาสมดุลของน้ำตาลในเลือด ซึ่งอาหารหนึ่งที่มีสวนชวยในการลดความอยากน้ำตาลคือแอปเปิ้ล นอกจากการรับประทานแอปเปิ้ลที่เปนผลแลว ยังมีอีก 1 วิธีที่งายกวา คือการรับประทานผลิตภัณฑเสริมอาหารที่มีสวนผสมของสารสกัด แอปเปิ้ล ดังเชน ผลิตภัณฑ Applene ที่มีสวนประกอบของ Apple Extract จากฝรั่งเศส ซึ่งผานการวิจัยและพัฒนามาเพื่อการลดน้ำตาลในเลือดอยางมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ Applene ยังประกอบไปดวย Super Protein ซึ่งชวยฟนฟูและบํารุงเซลลให้แข็งแรง ทําให้ร่างกายคุณกลับมาแข็งแรง สมบูรณ พรอมที่จะใชชีวิตไดอยางเต็มที่และมีความสุขอีกครั้ง

บทความอางอิงจาก : www.medicthai.com

บทความที่เกี่ยวข้อง